ความสำคัญของอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญเพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนส่งกระทบต่อราคาเปรียบเทียบของสินค้าในประเทศราคาเงินบาทของสินค้าจากสหรัฐอเมริกา สำหรับคนไทยกำหนดโดยปัจจัย 2 ประการคือ ราคาเงินดอลล่าร์ของสินค้าสหรัฐอเมริกาและอัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์
สมมุติว่า วรนัช สั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริกาในราคาคู่ละ US$100 และอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 35 บาทต่อ US$1 ราคารองเท้าสำหรับวรนัช จะเท่ากับ 3,500 บาท (=$100 x 35 บาท/ $) สมมุติว่าวรนัช ตัดสินใจซื้อในเวลาอีก 3 เดือนต่อมาซึ่งเป็นเวลาที่ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้น (appreciation) เป็น 40 บาทต่อ US$1 ราคาเงินบาทของรองเท้าสำหรับวรนัช จะสูงขึ้นเป็น 4000 บาท
อย่างไรก็ดี การเพิ่มค่าเงิน (Appreciation) สกุลเงินประเทศใดจะทำให้ราคาของสินค้าต่างประเทศของประเทศนั้นถูกลงที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อ US$1 ราคากุ้งแช่แข็งกิโลกรัมละ 400 บาทจะเป็นต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกากิโลกรัมละ US$11.43 ผ้าอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นเป็น 40 บาทต่อ US$1 ต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยจะกลายเป็นกิโลกรัมละ US$10.00
ตรงกันข้าม การลดค่าเงิน (Depreciation) ของเงินดอลล่าร์จะทำให้ต้นทุนของสินค้าจากสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยลดลงแต่จะทำให้ต้นทุนของสินค้าไทยในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ถ้าค่าเงินดอลล่าร์ลดลงเป็น 30บาทต่อ US$1 วรนัช จะสั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริการาคาเพียงคู่ละ 3000 บาทแทนที่จะเป็น 3500 บาทและกุ้งแช่แข่งจะมีต้นทุนกิโลกรัมละ US$13.33 แทนที่จะเป็น US$11.43
ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าเมื่อค่าเงินสกุลเงินประเทศใดสูงขึ้น (สูงขึ้นในหมดแล้วค่ะเมื่อเปรียบเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น) สินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้นและสินค้าต่างประเทศที่นำเข้าไปยังประเทศนั้นจะมีราคาถูกลง(กำหนดให้ราคาสินค้าภายในประเทศของทั้งสองประเทศคงที่) ตรงข้ามกันเมื่อค่าเงินสกุลประเทศใดลดลงสินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาลดลงและสินค้าต่างประเทศในประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้น
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ มีลักษณะพื้นฐาน 2 ประเภทคือระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regime) และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim )
ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regim ) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะถูกกำหนดให้คงที่ (Pegged) โดยเปรียบเทียบ กับมูลค่าของเงินสกุลอื่นอีกสกุลหนึ่ง (ซึ่งเรียกว่า เงินสกุลหลัก หรือ Anchor Currency ) เพื่อที่ว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะคงที่ในรูปของเงินสกุลหลัก ส่วนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะผันผวนต่อเงินสกุลอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อประเทศแทรกแซงในตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อพยายามที่จะมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของตน โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนนี้ เรียกว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Regime หรือ Dirty Float)
ระบบอัตราการแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate Regimes)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้ข้อตกลงในปี ค.ส.1944 ประเทศผู้ชนะสงครามได้จัดตั้งระบบอัตราการแลกเปลี่ยนเงินคงที่ที่รู้จักกันดีในชื่อระบบเบตรตีนวูดส์ (Bretton Woods System) ซึ่งระบบนี้ได้ ใช้มาจนกระทั่งปีค.ศ. 1971
ข้อตกลง Bretton Woods ได้จัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ซึ่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสมาชิกก่อตั้งสามสิบประเทศ 30 ประเทศในปี ค.ศ. 1954 และปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 180 ประเทศภาระหน้าที่ของ IMF คือการสนับสนุนและการส่งเสริมการค้าโลกโดยการกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับการรักษาระดับอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ ส่วนหนึ่งของบทบาท IMF ในการกำกับให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการจัดทำข้อมูลนั้นให้มีมาตรฐานเดียวกัน
ข้อตกลง Bretton Woods ยังได้จัดตั้งธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะฟื้นฟูและการพัฒนา International Bank For Reconstruction and Development - IBRD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ธนาคารโลก World Bank ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก เป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาและสร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็นเงินทุนเบื้องหลังสำหรับการกู้เหล่านี้ได้มาจากการออกพันธบัตรธนาคารโลกซึ่งมีการขายในตลาดทุนของประเทศที่พัฒนาแล้วยิ่งไปกว่านั้นข้อตกลงทั่วไปด้วยภาษีศุลกากร และการค้า (General Agreement on Tariffs and TRADE-GATT) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ GATT เป็นความ ตกลงระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมประโยชน์ทางการค้าและ เศรษฐกิจที่ร่วมกันลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1947 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการค้าเสรี โดยการลดภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ การเจรจารอบที่ 8 ที่เรียกว่ารอบอุรุกวัย (Uruguay Round) เกิดปัญหาซับซ้อน และการใช้เวลาเจรจากันนานถึง 7 ปี (ค.ศ. 1986-1993) และได้รับการต่อต้านมากที่สุดมีผลทำให้เกิดการจัดตั้งองค์การนานาชาติ ขึ้นมาใหม่ คือ องค์การการค้าโลก (Wolrd Trade Organization - WTO) เพื่อทำหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงองค์การการค้าโลกจะทำหน้าที่ดูแล ข้อย่อย 3 ข้อตกลง คือ ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร (General Agreement on Tariff and Trade -GATT) ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการบริการ (General Agreement on Trade inServices -GATS) และความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา (The Agreement on Trade - Related Aspects of Intellectual Property Rights - TRIPS)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก มีกำลังการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมีทองคำมากที่สุด ระบบ Bretton Woods มีอัตราการแลกเปลี่ยนของที่ รากฐานมาจากความสามารถในการยืนยัน US$ มาเป็นทองคำ ( สำหรับรัฐบาลและธนาคารกลางต่างประเทศเท่านั้น) โดยกำหนดไว้ที่ US$35 ต่อออนซ์ ธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ( นอกเหนือจากธนาคารกลางสหรัฐ) มีหน้าที่ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อรักษาอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่เป็นเงิน US$ ที่เป็นธนาคารกลางเหล่านั้น ที่ไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ เงิน US$ ที่ประเทศอื่นใช้ในการอ้างอิงเพื่อวัดมูลค่าของสินทรัพย์ ที่ถือไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น เรียกว่า เงินสกุลสำรอง (Reserve Currency) ดังนั้น ลักษณะสำคัญของระบบ Bretton Woods คือ การก่อตั้งให้สหรัฐ เป็นเงินสกุลสำรอง ถึงแม้ว่าระบบ Bretton Woods ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เงิน US$ ยังคงเป็นสกุลเงินสำรอง ที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้ในการแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างประเทศ
ในปีค.ศ 1971 ได้มีการยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ที่กำหนดโดยระบบ Bretton Woods อย่างไรก็ดี จากปี ค.ศ. 1979 ถึง 1990 สหภาพยุโรป ได้จัดตั้งระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ใช้กันในกลุ่มประเทศสมาชิก ที่เรียกว่า ระบบการเงินยุโรป (European Monetary System- EMS) มีวิธีกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (European Rate Mechanism - ERM) ของระบบนี้ คือ อัตราการแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินกู้ของเงินสกุลต่างๆ ของประเทศที่เข้าร่วม จะต้องมีความผันผวนไปจากขอบเขตแคบๆ ที่ได้จำกัดไว้ ซึ่งขอบเขตนี้เรียกว่า snake ในทางปฏิบัติทุกประเทศ EMS กำหนดค่าเงินของตนเองกับเงินมาร์คของเยอรมัน
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float)
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกปล่อยให้เป็นการเปลี่ยนแปลงรายวันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ธนาคารกลางหลายแห่งยังคงใช้ทางเลือกที่จะเข้ามาแทรกแซงตลาด การป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เป็นการง่ายต่อธุรกิจและบุคคลที่จะวางแผนในอนาคตที่จะซื้อหรือขายสินค้าต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่ประเทศที่มีดุลการชำระเงินเกินดุลไม่ต้องการให้ค่าเงินของตนเองสูงขึ้น เพราะจะทำให้สินค้าของตนเองมีราคาแพงในประเทศ แล้วสินค้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลงในประเทศของตนเอง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นให้ค่างานอาจเป็นการทำลายธุรกิจภายในประเทศ และมีการวางงานมากขึ้น ดังนั้น ประเทศที่เกินดุก็จะต้องขายสดุกเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตรา และได้เงินสำรองระหว่างประเทศเข้ามา
ประเทศที่มีดุลการชำระเงินขาดดุลไม่ต้องการเห็น ค่าเงินของตนเองลดลง เพราะจะทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้บริโภคภายในประเทศของตนเองและสามารถกระตุ้นเงินเฟ้อได้ เพื่อให้ค่าเงินสกุลภายในต่างประเทศสูง ประเทศที่ขาดดุลมากจะซื้อสกุลเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตราและสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ
ระบบการเงินระหว่างประเทศปัจจุบันเป็นแบบผสมระหว่างระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินคงที่และ ยืดหยุน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะตอบสนองต่อสภาวะตลาด แต่จะไม่ถูกกำหนดโดยสภาวะของตลาดเพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้น หลายประเทศยังคงรักษาค่ะงามสกุลของตน ต่อ สกุลให้คงที่
บทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ข้อตกลง Bretton Woods ในปี ค.ส 1944 ตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ดำเนินการกับปัญหาของดุลการชำระเงิน และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่โดยการให้กู้แก่ประเทศที่ขาดดุล เมื่อระบบอัตราแลกเปลี่ยนของระบบ Bretton Woods ล่มสลายลงในปีค.ศ. 1971 IMF จึงมีบทบาทใหม่ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
ถึงแม้ว่า IMF ไม่ได้พยายามที่จะสนับสนุนระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่อีกต่อไป บทบาทในฐานะการเป็นผู้ให้กู้ยืมระหว่างประเทศมีความสำคัญมากในปัจจุบัน ที่เริ่มต้นในศตวรรษ 1980 ระหว่างช่วงวิกฤติในประเทศโลกที่สาม ซึ่ง IMF ได้ช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการชำระหนี้นอกจากนี้ IMF ยังได้ให้เงินกู้จำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการณ์การเงินในประเทศแม็กซิโกในปีค.ศ. 1994-1995 และประเทศในเอเชียตะวันออก รวมทั้งไทยในปีค.ศ. 1997-1998 รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการฟื้นฟูประเทศเกล้านี้จากภาวะวิกฤตและเป็นการป้องกันการลุกลาม ของวิกฤติเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นๆบทบาทที่ IMF กำลังดำเนินอยู่นี้ (การผู้ให้ยืมระหว่างประเทศ) เป็นข้อถกเถียงที่มีความขัดแย้งอย่างมาก
ที่มา :
: https://greedisgoods.com/fixed-exchange-rate-คือ/
: http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-1.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น