บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการเงินธุรกิจ
คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
จัดทำโดย
1.นางสาวณัฏฐนิชา วรรณบุตร
2.นางสาวมะลิสา สิริรจน์
3.นางสาวนิรมล พรรณา
4.นางสาวอินทิรา ชูเส้นผม
5.นางสาวศิรดา ทาทอง
6.นางสาวพลอยพัชรินทร์ นามเวช
7.นางสาวปวีณา ศาลางาม
8.นางสาวกัญญารัตน์ ศรีคุณ
9.นางสาวสุกัญญา สุดฉลาด
นักศึกษาเรียนวันจันทร์-เช้า
เสนอ
อาจารย์อารยา อึงไพบูลย์กิจ
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561
5.2 การเงินระหว่างประเทศ
การเงินระหว่างประเทศ
การเงินระหว่างประเทศเกิดขึ้นเนื่องจากระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิดทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศขึ้น ส่งผลทำให้แต่ละประเทศจำเป็นต้องกำหนดระบบการเงินของประเทศตนเองให้สอดคล้องกับอารยประเทศ และเพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสามารถดำเนินไปได้อย่างสะดวกราบรื่น จึงก่อให้เกิดตลาดการเงินระหว่างประเทศขึ้นเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ซึ่งตลาดการเงินระหว่างประเทศสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ตลาด คือตลาดเงินและตลาดทุนระหว่างประเทศ นอกจากจะมีตลาดการเงินระหว่างประเทศแล้ว ยังได้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีความแตกต่างจากสถาบันการเงินภายในประเทศ คือ สถาบันการเงินเหล่านี้จะทำหน้าที่ ได้ด้านการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ที่มา : อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
ที่มา : อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
ดุลการชำระเงิน
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีหรือระบบเศรษฐกิจแบบเปิด อาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญการของแต่ละประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางความคิดของอดัมสมิธ การดำเนินการผลิตในลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดระบบการค้าระหว่างประเทศขึ้น ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาของแต่ละประเทศเป็นอันมาก กล่าวคือ ทำให้มีสินค้าและบริการที่จะใช้อุปโภคและบริโภคมากขึ้น ระบบการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีการนำปัจจัยการผลิตที่ตนเองมีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการผลิตอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการค้าระหว่างประเทศจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่เกี่ยวข้อง แต่หากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้มีการควบคุมอย่างมีระบบอาจจะทำให้ประเทศดังกล่าวประสบปัญหาในด้านดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะมาจากมูลค่าการนำข้อมูลสินค้าและบริการจากต่างประเทศสูงกว่ามูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ และหากเกิดปัญหาดังกล่าวติดตามกันทุกปีอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาซึ่งยังมีความต้องการเงินทุนในการพัฒนาประเทศเป็นจำนวนมาก
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ หมายถึง มูลค่าสุทธิระหว่างการรับและการจ่าย ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดำเนินการทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจในประเทศหนึ่งประเทศใด กับหน่วยเศรษฐกิจของต่างประเทศประเทศในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นเวลาหนึ่งปี อย่างไรก็ตามดุลการชำระเงินระหว่างประเทศจะประกอบไปด้วย
(1) ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลบัญชีเดินสะพัดยังสามารถแยกย่อยออกได้เป็น
(1.1) ดุลการค้า เป็นทุนรายรับและรายจ่ายในเกิดมาจากการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการ
(1.2) ดุลบริการ เป็นดวงรายรับและรายจ่ายในด้านการบริการระหว่างประเทศเช่น การขนส่งและการประกันภัย
(2) ดุลการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นบุญของปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้าและเงินทุนที่ไหลออก เงินทุนที่ไหลเข้าอาจจะประกอบไปด้วย เงินลงทุนของชาวต่างประเทศ หรือเงินกู้ยืมส่วนเงินทุนไหลออกอาจจะประกอบไปด้วยการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนประเทศนั้นหรือ การชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยจ่าย
(3) ดูเงินโอน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ ดุลเงินบริจาค เป็นดุล การเงินที่ได้รับจากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า เปรียบเทียบกับปริมาณเงินที่ประเทศนั้นๆ ให้ความช่วยเหลือกับประเทศอื่นในลักษณะการให้เปล่าเช่นกัน
(4) ดุลเงินทุนสำรองทางราชการ เป็นดุลที่ทางการของประเทศเตรียมไว้เพื่อปรับให้ดุลการชำระเงินของประเทศให้มีความสมดุลที่กล่าวคือ หาประเทศมีดุลบัญชีเดินสะพัดรวมกับดุลการเคลื่อนย้ายเงินทุนและทุนเงินโดยขาดดุล ทางการของประเทศนั้นจะต้องดำเนินด้านใดด้านหนึ่งที่จะทำให้สามารถนำเงินมาชดเชยในส่วนที่ขาดไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องหาเงินมาชำระในส่วนที่ขาดไปนั่นเอง รูปแบบการหาเงินเพื่อมาชดเชยส่วนที่ขาดดุลก็คือ
รูปแบบแรก คือ การเอาทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศขายเพื่อที่จะได้เงินตราต่างประเทศมาชำระหนี้ที่ขาดดุล ทำให้ปริมาณทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศลดลงกอปรกลับโดยปกติทองคำจะเป็นทุนสำรองในการออกเงินตราในในประเทศ หาปริมาณทองคำถูกนำไปขาย เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ในส่วนที่ขาดดุล จะส่งผลถึงปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นทันที
รูปแบบที่สอง คือ การนำเอาเงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนสำรอง นำไปชำระหนี้ที่ขาดดุล การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลทำให้ทุนสำรองเงินตราลดลง และส่วนใหญ่เงินตราต่างประเทศจะถูกนำไปเป็นทุนสำรองในการออกเงินตราเพื่อใช้ในประเทศ หาเงินตราต่างประเทศถูกนำไปชำระหนี้ในส่วนที่ขาดดุลจะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นลดลง และจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามปัญหาการขาดดุลการชำระเงินติดต่อกันไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศกล่าวคือ จะทำให้ประเทศนั้นไม่มีเงินตราต่างประเทศในการซื้อสินค้าและบริการจากประเทศอื่นมาใช้ในการดำรงชีพของประชาชนในประเทศ กอปรกับประเทศดังกล่าวยังต้องการเงินทุนในการพัฒนาประเทศอีกมาก อาจจะส่งผลทำให้การพัฒนาประเทศชะงักงันได้ ในทางตรงกันข้ามหากดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเกินดุลจะส่งผลทำให้อำนาจซื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพราะหากประเทศใดเกินดุลการชำระเงินติดต่อกันจะทำให้ทุนสำรองในการออกเงินตราเพิ่มสูงขึ้น ปริมาณเงินที่ออกมาใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณสินค้าและบริการมีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลทำให้ปริมาณสินค้าและบริการที่ผลิตได้จะใช้อุปโภคและบริโภคภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนจำเป็นที่จะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศ ส่งผลทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการส่งออกจะลดน้อยลง และสุดท้ายประเทศดังกล่าวอาจจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นอกจากนี้การเกินดุลการชำระเงินหากเป็นกะ โดนในส่วนของดุลเคลื่อนย้ายซึ่งอยู่ในส่วนของเงินกู้ยืม อาจจะส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ หากเงินกู้ดังกล่าวนำมาเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น เพื่อการบริโภคหรืออุปโภค เป็นต้น เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้สูงขึ้น ส่งผลทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นแล้ว และเงินกู้บางส่วนอาจจะกลับคืนในรูปของการชำระค่าสินค้าและบริการที่นำมาจากต่างประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าวไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มาซื้อเงินตราต่างประเทศ เมื่อครบกำหนดการชำระหนี้คืน มักจะประสบปัญหาทันทีเพราะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดน้อยลง และมีจำนวนน้อยกว่ามูลค่าหนี้ที่จะต้องชำระ
ที่มา : อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
: http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-4.pdf
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีหรือระบบเศรษฐกิจแบบเปิด อาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญการของแต่ละประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางความคิดของอดัมสมิธ การดำเนินการผลิตในลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดระบบการค้าระหว่างประเทศขึ้น ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาของแต่ละประเทศเป็นอันมาก กล่าวคือ ทำให้มีสินค้าและบริการที่จะใช้อุปโภคและบริโภคมากขึ้น ระบบการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะมีการนำปัจจัยการผลิตที่ตนเองมีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการผลิตอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการค้าระหว่างประเทศจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่เกี่ยวข้อง แต่หากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้มีการควบคุมอย่างมีระบบอาจจะทำให้ประเทศดังกล่าวประสบปัญหาในด้านดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะมาจากมูลค่าการนำข้อมูลสินค้าและบริการจากต่างประเทศสูงกว่ามูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ และหากเกิดปัญหาดังกล่าวติดตามกันทุกปีอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาซึ่งยังมีความต้องการเงินทุนในการพัฒนาประเทศเป็นจำนวนมาก
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ หมายถึง มูลค่าสุทธิระหว่างการรับและการจ่าย ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดำเนินการทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจในประเทศหนึ่งประเทศใด กับหน่วยเศรษฐกิจของต่างประเทศประเทศในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติจะเป็นเวลาหนึ่งปี อย่างไรก็ตามดุลการชำระเงินระหว่างประเทศจะประกอบไปด้วย
(1) ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลบัญชีเดินสะพัดยังสามารถแยกย่อยออกได้เป็น
(1.1) ดุลการค้า เป็นทุนรายรับและรายจ่ายในเกิดมาจากการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการ
(1.2) ดุลบริการ เป็นดวงรายรับและรายจ่ายในด้านการบริการระหว่างประเทศเช่น การขนส่งและการประกันภัย
(2) ดุลการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นบุญของปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้าและเงินทุนที่ไหลออก เงินทุนที่ไหลเข้าอาจจะประกอบไปด้วย เงินลงทุนของชาวต่างประเทศ หรือเงินกู้ยืมส่วนเงินทุนไหลออกอาจจะประกอบไปด้วยการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนประเทศนั้นหรือ การชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยจ่าย
(3) ดูเงินโอน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ ดุลเงินบริจาค เป็นดุล การเงินที่ได้รับจากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า เปรียบเทียบกับปริมาณเงินที่ประเทศนั้นๆ ให้ความช่วยเหลือกับประเทศอื่นในลักษณะการให้เปล่าเช่นกัน
(4) ดุลเงินทุนสำรองทางราชการ เป็นดุลที่ทางการของประเทศเตรียมไว้เพื่อปรับให้ดุลการชำระเงินของประเทศให้มีความสมดุลที่กล่าวคือ หาประเทศมีดุลบัญชีเดินสะพัดรวมกับดุลการเคลื่อนย้ายเงินทุนและทุนเงินโดยขาดดุล ทางการของประเทศนั้นจะต้องดำเนินด้านใดด้านหนึ่งที่จะทำให้สามารถนำเงินมาชดเชยในส่วนที่ขาดไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องหาเงินมาชำระในส่วนที่ขาดไปนั่นเอง รูปแบบการหาเงินเพื่อมาชดเชยส่วนที่ขาดดุลก็คือ
รูปแบบแรก คือ การเอาทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศขายเพื่อที่จะได้เงินตราต่างประเทศมาชำระหนี้ที่ขาดดุล ทำให้ปริมาณทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศลดลงกอปรกลับโดยปกติทองคำจะเป็นทุนสำรองในการออกเงินตราในในประเทศ หาปริมาณทองคำถูกนำไปขาย เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ในส่วนที่ขาดดุล จะส่งผลถึงปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นทันที
รูปแบบที่สอง คือ การนำเอาเงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนสำรอง นำไปชำระหนี้ที่ขาดดุล การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลทำให้ทุนสำรองเงินตราลดลง และส่วนใหญ่เงินตราต่างประเทศจะถูกนำไปเป็นทุนสำรองในการออกเงินตราเพื่อใช้ในประเทศ หาเงินตราต่างประเทศถูกนำไปชำระหนี้ในส่วนที่ขาดดุลจะทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นลดลง และจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามปัญหาการขาดดุลการชำระเงินติดต่อกันไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศกล่าวคือ จะทำให้ประเทศนั้นไม่มีเงินตราต่างประเทศในการซื้อสินค้าและบริการจากประเทศอื่นมาใช้ในการดำรงชีพของประชาชนในประเทศ กอปรกับประเทศดังกล่าวยังต้องการเงินทุนในการพัฒนาประเทศอีกมาก อาจจะส่งผลทำให้การพัฒนาประเทศชะงักงันได้ ในทางตรงกันข้ามหากดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเกินดุลจะส่งผลทำให้อำนาจซื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพราะหากประเทศใดเกินดุลการชำระเงินติดต่อกันจะทำให้ทุนสำรองในการออกเงินตราเพิ่มสูงขึ้น ปริมาณเงินที่ออกมาใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณสินค้าและบริการมีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลทำให้ปริมาณสินค้าและบริการที่ผลิตได้จะใช้อุปโภคและบริโภคภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนจำเป็นที่จะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศ ส่งผลทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการส่งออกจะลดน้อยลง และสุดท้ายประเทศดังกล่าวอาจจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นอกจากนี้การเกินดุลการชำระเงินหากเป็นกะ โดนในส่วนของดุลเคลื่อนย้ายซึ่งอยู่ในส่วนของเงินกู้ยืม อาจจะส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ หากเงินกู้ดังกล่าวนำมาเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น เพื่อการบริโภคหรืออุปโภค เป็นต้น เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้สูงขึ้น ส่งผลทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นแล้ว และเงินกู้บางส่วนอาจจะกลับคืนในรูปของการชำระค่าสินค้าและบริการที่นำมาจากต่างประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าวไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มาซื้อเงินตราต่างประเทศ เมื่อครบกำหนดการชำระหนี้คืน มักจะประสบปัญหาทันทีเพราะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดน้อยลง และมีจำนวนน้อยกว่ามูลค่าหนี้ที่จะต้องชำระ
ที่มา : อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
: http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-4.pdf
วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561
ตราสารทางการเงินระหว่างประเทศ
ตราสารทางการเงินในตลาดระหว่างประเทศ
ในปัจจุบันตราสารทางการเงินในตลาดการเงินระหว่างประเทศ ได้มีการพัฒนารูปแบบของสินค้าใหม่ ๆและมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งในเรื่องของอัตราผลตอบแทน ความเสี่ยง ระยะเวลาในการลงทุน ระยะเวลาในการจ่ายผลตอบแทน สภาพคล่อง เงื่อนไขในการไถ่ถอน ผู้ออกตราสาร รวมทั้งสกุลเงินตราที่ใช้ในการลงทุน เป็นต้น สามารถแบ่งตามประเภทที่ออกได้ ดังนี้
1.ตราสารทุน (Equity Instrument)
2.ตราสารหนี้ (Debt instrument)
3.ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid instrument)
4.ตราสารอนุพันธ์
ตราสารทุน (Equity Instrument)
|
ตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ตลาดการเงินระหว่างประเทศ
ตลาดการเงินได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ตลาด คือตลาดเงินและตลาดทุน ตลาดการเงินระหว่างประเทศก็มีลักษณะเช่นเดียวกันคือ แบ่งแยกออกเป็น 2 ตลาดคือตลาดเงินระหว่างประเทศและตลาดทุนระหว่างประเทศ
1. ตลาดเงินระหว่างประเทศ เป็นตลาดที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากระบบการค้าขายที่มีการติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศ รวมถึงการให้กู้ยืมกันแต่เนื่องจากแต่ละประเทศมีสกุลเงินตราเป็นของตนเองดังนั้นการที่จะนำเงินตราสกุลหนึ่งไปใช้ในอีกประเทศหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ด้วยเหตุนี้ตลาดการเงินระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ซึ่งหากพิจารณาคำนิยามของตลาดการเงินระหว่างประเทศแล้วจะหมายถึง สถานที่ที่ดำเนินธุรกรรมในด้านการซื้อขาย แลกเปลี่ยน รวมถึงการให้กู้ยืมเงินโดยมีตราสารเครดิตที่มีอายุไม่เกิน 1 ปีเป็นเครื่องมือ ดังนั้นตลาดเงินระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศที่มีการติดต่อค้าขายหรือดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งความสำคัญของตลาดเงินระหว่างประเทศพอที่จะสรุปได้ดังนี้คือ
(1) ทำให้เกิดกระบวนการโอนอำนาจซื้อจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ซึ่ง รูปแบบการโอนอำนาจซื้อจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งอาจจะอยู่ใน 2 รูปแบบคือ
(1.1) เป็นการโอนอำนาจซื้อโดยการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศนั้นๆ เราคือเมื่อมีการซื้อสินค้ากันแล้วจะต้องมีการชำระเงินค่าสินค้าเป็นเงินตราสกุลของประเทศนั้นๆ หรืออาจ จะเป็นเงินตราสกุลอื่นที่ประเทศนั้นยอมรับ การดำเนินงานดังกล่าวจะดำเนินงานโดยผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการนำเงินตราสกุลต่างประเทศที่ได้รับจากการขายสินค้าไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราสกุลของตนเองเป็นต้น
(1.2) เป็นการโอนอำนาจซื้อโดยการให้กู้ยืม การโอนอำนาจซื้อในลักษณะนี้หากเปรียบเทียบกับตลาดเงินภายในประเทศแล้วตลาดเงินระหว่างประเทศเปรียบเสมือนสถาบันการเงินที่ทําหน้าที่ระดมเงินออมจากหน่วยเศรษฐกิจที่เกินดุล และจัดสรรเงินออมดังกล่าวไปสู่เศรษฐกิจที่ขาดดุล สิ่งที่แตกต่างกันก็คือขนาดของหน่วยเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในตลาดเงินระหว่างประเทศหากกล่าวถึงหน่วยเศรษฐกิจที่ขาดดุลจะหมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีความต้องการเงินทุนที่จะนำไปดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศนั้นๆ ส่วนหน่วยเศรษฐกิจที่เกินดุลก็หมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง มีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเกินดุลอยู่เสมอนั่นเอง ดังนั้น การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีความต้องการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำไปพัฒนาประเทศของตนเองจะต้องดำเนินการผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศ เพราะนอกจากจะได้รับความสะดวกแล้วตลาดเงินระหว่างประเทศยังสามารถที่จะช่วยให้ผู้กู้ยืมหาแหล่งเงินทุนที่มีความเหมาะสมเช่น ต้นทุนหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
(2) ตลาดเงินระหว่างประเทศจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ กล่าวคือ หน่วยเศรษฐกิจทุกหน่วยที่อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถที่จะใช้บริการในการกู้ยืมหรือให้กู้ยืมโดยผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศได้ ซึ่งการกู้ยืมเงินผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศจะอาศัยเครื่องมือทางการเงินระยะสั้น
(3) ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าของอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ได้แต่ละประเทศจะมีโครงสร้างการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อมีตลาดเงินระหว่างประเทศช่วยอำนาจความสะดวกในการชำระค่าสินค้าตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างๆ มาเป็นเงินตราสกุลของประเทศตนเอง จึงทำให้การค้าขายระหว่างประเทศมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการขยายการผลิตในประเทศต่างๆมากขึ้น การจ้างงาน ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น รายได้ของแต่ละประเทศก็จะเพิ่มสูงขึ้น และนอกจากนี้ตลาดเงินระหว่างประเทศยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนาที่มีเงินทุนในการพัฒนาประเทศต่ำ ซึ่งรูปแบบการช่วยเหลือ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เช่น การให้กู้ยืมเงิน หรือการลงทุนโดยตรงของผู้ลงทุนจากประเทศอื่น เป็นต้น การดำเนินงานดังกล่าวจะส่งผลดีต่อประเทศนั้นๆ และก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของโลก
ในปัจจุบันตลาดเงินระหว่างประเทศที่สำคัญสำคัญจะประกอบไปด้วย (1) ตลาดยูโรดอลล่าร์( Euro-dayllar Makket) เป็นตลาดเงิน ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของโลก เพราะเป็นตลาดเงินระหว่างประเทศที่เป็นแหล่งเงินกู้ที่สำคัญที่สุดของโลก ยูโรดอลล่าร์ หมายถึง เงินฝากสกุลดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาที่ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์อื่นนอกประเทศ สาเหตุที่เกิดตลาดยูโรดอลลาร์ก็คือ กลุ่มประเทศสังคมนิยมบางประเทศต้องการถือเงินไว้ในรูปแบบของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่หากฝากเงินดังกล่าวไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่าจะถูกสหรัฐอเมริกายึดไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายในทรัพย์สินของชาวอเมริกาที่อาศัยอยู่ในประเทศของตน ด้วยสาเหตุนี้กลุ่มประเทศสังคมนิยมเหล่านี้เลยนิยมนำเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาไปฝากไว้กับธนาคารแห่งรัฐของสหภาพโซเวียตที่เปิดสาขาอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีชื่อว่า "The Banque Commercial pour I'Europe du Nord S.A. ซึ่งได้ใช้รหัสโทรเลขในการติดต่อ ตลาดเงินตราระหว่างประเทศว่า "Eurobank" ทำให้ผู้ที่ติดต่อ ซื้อขายเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกาผ่านธนาคารนี้มักจะเรียกเงินดอลลาร์ที่ได้รับว่า "ยูโรดอลล่าร์" ตลาดยูโรดอลล่าร์ มีศูนย์กลางที่สำคัญอยู่หลายแห่งเช่น กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประเทศแคนาดา ประเทศเยอรมันนี สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ตลาดยูโรดอลล่าร์ มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาได้กระจายไปสู่ประเทศต่างๆมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ เงินให้กู้ยืมรวมถึงเงินที่ชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งส่งผลทำให้กิจการของธนาคารพาณิชย์มีการขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินยูโรดอลล่าร์ผ่านธนาคารพาณิชย์มากขึ้น รวมถึงมีการรับซื้อและขายเงินยูโรดอลล่าร์มากขึ้น ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกำไรจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีการที่ปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาได้กระจายไปสู่ประเทศอื่นมากมายจึงเป็นการยากที่สหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศของตนเองได้ นอกจากนี้ตลาดยูโรดอลลาร์ยังมีความเสี่ยงจากการให้กู้ยืมสูงเพราะการให้กู้ยืมในแต่ละครั้งมีปริมาณเงินค่อนข้างมากแต่หลักประกันไม่มีความมั่นคงพอ (2) ตลาดอาเซียนดอลลาร์ (Aslan-dollar Market) เกิดขึ้นเนื่องจากโครงการความช่วยเหลือที่รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในเขตภูมิอากาศเอเชียซึ่งการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจะโอนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ดังนั้นทำให้ปริมาณเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในภูมิภาคเอเชียเริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงมีการจัดตั้งตลาดอาเซียนดอลลาร์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลอื่นกับเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งสิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย ต่อมาได้มีการขยายไปยังประเทศญี่ปุ่นและฮ่องกง สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการวางแผนพัฒนาระบบการเงินเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชีย การปรับปรุงระบบการเงินของประเทศไทยที่ผ่านมาเช่น การยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก การขยายกิจกรรมของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการกำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ตามมาตรฐาน BIS (Bank of lnternational Settlement) ส่วนกระบวนการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินนั้นประกอบไปด้วย (1) การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดสรรเงินทุน กล่าวคือ ได้มีการสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยไปเปิดสาขาหรือร่วมลงทุนกับธนาคารท้องถิ่นในกลุ่มประเทศอินโดจีน นอกจากนี้ได้มีการขยายขอบเขตของการใช้เงินบาทในด้านการค้าและการลงทุนเช่น การเพิ่มวงเงินที่จะนำออกนอกประเทศ การอนุญาตให้นำเงินบาทออกไปลงทุนในกลุ่มประเทศอินโดจีนและการสนับสนุนให้มีการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (letter of credit) และตั๋วเรียกเก็บเงินเป็นเงินบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (International Banking F acilities) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งกิจการวิเทศธนกิจ หมายถึง กิจการของธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ กู้ยืมในประเทศ และธุรกิจวิเทศธนกิจอื่นๆ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติให้สถาบันการเงินที่มีความพร้อมดำเนินธุรกรรม BIBF (Bankok International Banking Facilities) (2) การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินเฉพาะอย่าง กล่าวคือ ได้มีการอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศในการดำเนินธุรกรรม BIBF ได้ นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาธุรกิจด้านการซื้อขาย การกู้ยืมระหว่างประเทศ รวมถึงตลาดทางการเงินล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังได้มีการปฏิรูปตลาดทุนให้มีการระดมเงินทุน (3) การพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินแบบครบวงจร กล่าวคือ ประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการให้บริการในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการ 2. ตลาดเงินระหว่างประเทศ
ตลาดทุนระหว่างประเทศหมายถึง ศูนย์รวมของกิจกรรม ระหว่างประเทศที่ดำเนินกิจกรรมในด้านการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีอายุการไถ่ถอนมากกว่า 1 ปี ตลาดทุนระหว่างประเทศยังแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
(1) ตลาดทุนภายในประเทศ หมายถึง ตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมภายในกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ และมีสถาบันการเงิน ผู้ลงทุนเป็นคนในประเทศนั้นๆ ทั้งนี้รวมถึงนักลงทุนชาวต่างประเทศที่มาลงทุนด้วย แต่ต้องอยู่ภายในกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ
(2) ตลาดทุนภายนอก หมายถึง ตลาดที่ดำเนินกิจกรรมในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละประเทศ แต่การดำเนินกิจกรรมของตลาดดังกล่าวมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ในปัจจุบันตลาดหุ้นระหว่างประเทศที่สำคัญๆ
ประกอบไปด้วย
(1) ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมด้านการขายพันธบัตรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรแยงกี้ ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และเป็นตลาดที่มีผู้นิยมนำพันธบัตรมาขายในจำนวนมาก
(2) ตลาดญี่ปุ่น เป็นตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมด้านการให้กู้ยืมเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา รวมถึงการซื้อขายพันธบัตรต่างประเทศ
(3) ตลาดทุนอังกฤษ เป็นศูนย์กลางการซื้อขายเงินยูโร จึงทำให้กิจกรรมการออกตราสารมาจำหน่ายมีเป็นจำนวนมาก กอปรกลับเป็นตลาดที่ดำเนินงานได้อย่างเสรี
(4) ตลาดหุ้นอิตาลีและสเปน เป็นตลาดที่ให้กู้ยืมแก่ภาครัฐบาลเป็นสำคัญอย่างไรก็ตามตลาดทุนระหว่างประเทศที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและของโลก ทั้งนี้เนื่องจากตลาดทุนระหว่างประเทศจะทำหน้าที่โอนเงินออมจากประเทศที่เกินดุลไปสู่ประเทศที่ขาดดุล ทำให้ประเทศที่ขาดดุลมีเงินทุนที่พอเพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง และสามารถที่จะพัฒนาประเทศไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้
ที่มา : http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-2.pdf
: อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
1. ตลาดเงินระหว่างประเทศ เป็นตลาดที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากระบบการค้าขายที่มีการติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศ รวมถึงการให้กู้ยืมกันแต่เนื่องจากแต่ละประเทศมีสกุลเงินตราเป็นของตนเองดังนั้นการที่จะนำเงินตราสกุลหนึ่งไปใช้ในอีกประเทศหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ด้วยเหตุนี้ตลาดการเงินระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ซึ่งหากพิจารณาคำนิยามของตลาดการเงินระหว่างประเทศแล้วจะหมายถึง สถานที่ที่ดำเนินธุรกรรมในด้านการซื้อขาย แลกเปลี่ยน รวมถึงการให้กู้ยืมเงินโดยมีตราสารเครดิตที่มีอายุไม่เกิน 1 ปีเป็นเครื่องมือ ดังนั้นตลาดเงินระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศที่มีการติดต่อค้าขายหรือดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งความสำคัญของตลาดเงินระหว่างประเทศพอที่จะสรุปได้ดังนี้คือ
(1) ทำให้เกิดกระบวนการโอนอำนาจซื้อจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ซึ่ง รูปแบบการโอนอำนาจซื้อจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งอาจจะอยู่ใน 2 รูปแบบคือ
(1.1) เป็นการโอนอำนาจซื้อโดยการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศนั้นๆ เราคือเมื่อมีการซื้อสินค้ากันแล้วจะต้องมีการชำระเงินค่าสินค้าเป็นเงินตราสกุลของประเทศนั้นๆ หรืออาจ จะเป็นเงินตราสกุลอื่นที่ประเทศนั้นยอมรับ การดำเนินงานดังกล่าวจะดำเนินงานโดยผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการนำเงินตราสกุลต่างประเทศที่ได้รับจากการขายสินค้าไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราสกุลของตนเองเป็นต้น
(1.2) เป็นการโอนอำนาจซื้อโดยการให้กู้ยืม การโอนอำนาจซื้อในลักษณะนี้หากเปรียบเทียบกับตลาดเงินภายในประเทศแล้วตลาดเงินระหว่างประเทศเปรียบเสมือนสถาบันการเงินที่ทําหน้าที่ระดมเงินออมจากหน่วยเศรษฐกิจที่เกินดุล และจัดสรรเงินออมดังกล่าวไปสู่เศรษฐกิจที่ขาดดุล สิ่งที่แตกต่างกันก็คือขนาดของหน่วยเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในตลาดเงินระหว่างประเทศหากกล่าวถึงหน่วยเศรษฐกิจที่ขาดดุลจะหมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีความต้องการเงินทุนที่จะนำไปดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศนั้นๆ ส่วนหน่วยเศรษฐกิจที่เกินดุลก็หมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง มีดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเกินดุลอยู่เสมอนั่นเอง ดังนั้น การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีความต้องการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำไปพัฒนาประเทศของตนเองจะต้องดำเนินการผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศ เพราะนอกจากจะได้รับความสะดวกแล้วตลาดเงินระหว่างประเทศยังสามารถที่จะช่วยให้ผู้กู้ยืมหาแหล่งเงินทุนที่มีความเหมาะสมเช่น ต้นทุนหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
(2) ตลาดเงินระหว่างประเทศจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ กล่าวคือ หน่วยเศรษฐกิจทุกหน่วยที่อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถที่จะใช้บริการในการกู้ยืมหรือให้กู้ยืมโดยผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศได้ ซึ่งการกู้ยืมเงินผ่านตลาดเงินระหว่างประเทศจะอาศัยเครื่องมือทางการเงินระยะสั้น
(3) ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าของอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ได้แต่ละประเทศจะมีโครงสร้างการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อมีตลาดเงินระหว่างประเทศช่วยอำนาจความสะดวกในการชำระค่าสินค้าตลอดจนถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างๆ มาเป็นเงินตราสกุลของประเทศตนเอง จึงทำให้การค้าขายระหว่างประเทศมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการขยายการผลิตในประเทศต่างๆมากขึ้น การจ้างงาน ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น รายได้ของแต่ละประเทศก็จะเพิ่มสูงขึ้น และนอกจากนี้ตลาดเงินระหว่างประเทศยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนาที่มีเงินทุนในการพัฒนาประเทศต่ำ ซึ่งรูปแบบการช่วยเหลือ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เช่น การให้กู้ยืมเงิน หรือการลงทุนโดยตรงของผู้ลงทุนจากประเทศอื่น เป็นต้น การดำเนินงานดังกล่าวจะส่งผลดีต่อประเทศนั้นๆ และก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของโลก
ในปัจจุบันตลาดเงินระหว่างประเทศที่สำคัญสำคัญจะประกอบไปด้วย (1) ตลาดยูโรดอลล่าร์( Euro-dayllar Makket) เป็นตลาดเงิน ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของโลก เพราะเป็นตลาดเงินระหว่างประเทศที่เป็นแหล่งเงินกู้ที่สำคัญที่สุดของโลก ยูโรดอลล่าร์ หมายถึง เงินฝากสกุลดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาที่ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์อื่นนอกประเทศ สาเหตุที่เกิดตลาดยูโรดอลลาร์ก็คือ กลุ่มประเทศสังคมนิยมบางประเทศต้องการถือเงินไว้ในรูปแบบของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่หากฝากเงินดังกล่าวไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่าจะถูกสหรัฐอเมริกายึดไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายในทรัพย์สินของชาวอเมริกาที่อาศัยอยู่ในประเทศของตน ด้วยสาเหตุนี้กลุ่มประเทศสังคมนิยมเหล่านี้เลยนิยมนำเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาไปฝากไว้กับธนาคารแห่งรัฐของสหภาพโซเวียตที่เปิดสาขาอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีชื่อว่า "The Banque Commercial pour I'Europe du Nord S.A. ซึ่งได้ใช้รหัสโทรเลขในการติดต่อ ตลาดเงินตราระหว่างประเทศว่า "Eurobank" ทำให้ผู้ที่ติดต่อ ซื้อขายเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกาผ่านธนาคารนี้มักจะเรียกเงินดอลลาร์ที่ได้รับว่า "ยูโรดอลล่าร์" ตลาดยูโรดอลล่าร์ มีศูนย์กลางที่สำคัญอยู่หลายแห่งเช่น กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประเทศแคนาดา ประเทศเยอรมันนี สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ตลาดยูโรดอลล่าร์ มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาได้กระจายไปสู่ประเทศต่างๆมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ เงินให้กู้ยืมรวมถึงเงินที่ชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งส่งผลทำให้กิจการของธนาคารพาณิชย์มีการขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินยูโรดอลล่าร์ผ่านธนาคารพาณิชย์มากขึ้น รวมถึงมีการรับซื้อและขายเงินยูโรดอลล่าร์มากขึ้น ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกำไรจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดีการที่ปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาได้กระจายไปสู่ประเทศอื่นมากมายจึงเป็นการยากที่สหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศของตนเองได้ นอกจากนี้ตลาดยูโรดอลลาร์ยังมีความเสี่ยงจากการให้กู้ยืมสูงเพราะการให้กู้ยืมในแต่ละครั้งมีปริมาณเงินค่อนข้างมากแต่หลักประกันไม่มีความมั่นคงพอ (2) ตลาดอาเซียนดอลลาร์ (Aslan-dollar Market) เกิดขึ้นเนื่องจากโครงการความช่วยเหลือที่รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในเขตภูมิอากาศเอเชียซึ่งการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจะโอนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ดังนั้นทำให้ปริมาณเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนอยู่ในภูมิภาคเอเชียเริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงมีการจัดตั้งตลาดอาเซียนดอลลาร์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลอื่นกับเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งสิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย ต่อมาได้มีการขยายไปยังประเทศญี่ปุ่นและฮ่องกง สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการวางแผนพัฒนาระบบการเงินเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชีย การปรับปรุงระบบการเงินของประเทศไทยที่ผ่านมาเช่น การยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก การขยายกิจกรรมของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการกำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ตามมาตรฐาน BIS (Bank of lnternational Settlement) ส่วนกระบวนการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินนั้นประกอบไปด้วย (1) การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดสรรเงินทุน กล่าวคือ ได้มีการสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยไปเปิดสาขาหรือร่วมลงทุนกับธนาคารท้องถิ่นในกลุ่มประเทศอินโดจีน นอกจากนี้ได้มีการขยายขอบเขตของการใช้เงินบาทในด้านการค้าและการลงทุนเช่น การเพิ่มวงเงินที่จะนำออกนอกประเทศ การอนุญาตให้นำเงินบาทออกไปลงทุนในกลุ่มประเทศอินโดจีนและการสนับสนุนให้มีการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (letter of credit) และตั๋วเรียกเก็บเงินเป็นเงินบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (International Banking F acilities) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งกิจการวิเทศธนกิจ หมายถึง กิจการของธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ กู้ยืมในประเทศ และธุรกิจวิเทศธนกิจอื่นๆ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติให้สถาบันการเงินที่มีความพร้อมดำเนินธุรกรรม BIBF (Bankok International Banking Facilities) (2) การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินเฉพาะอย่าง กล่าวคือ ได้มีการอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศในการดำเนินธุรกรรม BIBF ได้ นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาธุรกิจด้านการซื้อขาย การกู้ยืมระหว่างประเทศ รวมถึงตลาดทางการเงินล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังได้มีการปฏิรูปตลาดทุนให้มีการระดมเงินทุน (3) การพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินแบบครบวงจร กล่าวคือ ประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีการให้บริการในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการ 2. ตลาดเงินระหว่างประเทศ
ตลาดทุนระหว่างประเทศหมายถึง ศูนย์รวมของกิจกรรม ระหว่างประเทศที่ดำเนินกิจกรรมในด้านการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีอายุการไถ่ถอนมากกว่า 1 ปี ตลาดทุนระหว่างประเทศยังแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
(1) ตลาดทุนภายในประเทศ หมายถึง ตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมภายในกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ และมีสถาบันการเงิน ผู้ลงทุนเป็นคนในประเทศนั้นๆ ทั้งนี้รวมถึงนักลงทุนชาวต่างประเทศที่มาลงทุนด้วย แต่ต้องอยู่ภายในกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ
(2) ตลาดทุนภายนอก หมายถึง ตลาดที่ดำเนินกิจกรรมในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละประเทศ แต่การดำเนินกิจกรรมของตลาดดังกล่าวมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ในปัจจุบันตลาดหุ้นระหว่างประเทศที่สำคัญๆ
ประกอบไปด้วย
(1) ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมด้านการขายพันธบัตรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรแยงกี้ ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และเป็นตลาดที่มีผู้นิยมนำพันธบัตรมาขายในจำนวนมาก
(2) ตลาดญี่ปุ่น เป็นตลาดทุนที่ดำเนินกิจกรรมด้านการให้กู้ยืมเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา รวมถึงการซื้อขายพันธบัตรต่างประเทศ
(3) ตลาดทุนอังกฤษ เป็นศูนย์กลางการซื้อขายเงินยูโร จึงทำให้กิจกรรมการออกตราสารมาจำหน่ายมีเป็นจำนวนมาก กอปรกลับเป็นตลาดที่ดำเนินงานได้อย่างเสรี
(4) ตลาดหุ้นอิตาลีและสเปน เป็นตลาดที่ให้กู้ยืมแก่ภาครัฐบาลเป็นสำคัญอย่างไรก็ตามตลาดทุนระหว่างประเทศที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและของโลก ทั้งนี้เนื่องจากตลาดทุนระหว่างประเทศจะทำหน้าที่โอนเงินออมจากประเทศที่เกินดุลไปสู่ประเทศที่ขาดดุล ทำให้ประเทศที่ขาดดุลมีเงินทุนที่พอเพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง และสามารถที่จะพัฒนาประเทศไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้
ที่มา : http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-2.pdf
: อารีย์ เชื้อเมืองพาน(2542),การเงินการธนาคาร
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ความสำคัญของอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญเพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนส่งกระทบต่อราคาเปรียบเทียบของสินค้าในประเทศราคาเงินบาทของสินค้าจากสหรัฐอเมริกา สำหรับคนไทยกำหนดโดยปัจจัย 2 ประการคือ ราคาเงินดอลล่าร์ของสินค้าสหรัฐอเมริกาและอัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์
สมมุติว่า วรนัช สั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริกาในราคาคู่ละ US$100 และอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 35 บาทต่อ US$1 ราคารองเท้าสำหรับวรนัช จะเท่ากับ 3,500 บาท (=$100 x 35 บาท/ $) สมมุติว่าวรนัช ตัดสินใจซื้อในเวลาอีก 3 เดือนต่อมาซึ่งเป็นเวลาที่ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้น (appreciation) เป็น 40 บาทต่อ US$1 ราคาเงินบาทของรองเท้าสำหรับวรนัช จะสูงขึ้นเป็น 4000 บาท
อย่างไรก็ดี การเพิ่มค่าเงิน (Appreciation) สกุลเงินประเทศใดจะทำให้ราคาของสินค้าต่างประเทศของประเทศนั้นถูกลงที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อ US$1 ราคากุ้งแช่แข็งกิโลกรัมละ 400 บาทจะเป็นต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกากิโลกรัมละ US$11.43 ผ้าอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นเป็น 40 บาทต่อ US$1 ต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยจะกลายเป็นกิโลกรัมละ US$10.00
ตรงกันข้าม การลดค่าเงิน (Depreciation) ของเงินดอลล่าร์จะทำให้ต้นทุนของสินค้าจากสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยลดลงแต่จะทำให้ต้นทุนของสินค้าไทยในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ถ้าค่าเงินดอลล่าร์ลดลงเป็น 30บาทต่อ US$1 วรนัช จะสั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริการาคาเพียงคู่ละ 3000 บาทแทนที่จะเป็น 3500 บาทและกุ้งแช่แข่งจะมีต้นทุนกิโลกรัมละ US$13.33 แทนที่จะเป็น US$11.43
ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าเมื่อค่าเงินสกุลเงินประเทศใดสูงขึ้น (สูงขึ้นในหมดแล้วค่ะเมื่อเปรียบเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น) สินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้นและสินค้าต่างประเทศที่นำเข้าไปยังประเทศนั้นจะมีราคาถูกลง(กำหนดให้ราคาสินค้าภายในประเทศของทั้งสองประเทศคงที่) ตรงข้ามกันเมื่อค่าเงินสกุลประเทศใดลดลงสินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาลดลงและสินค้าต่างประเทศในประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้น
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ มีลักษณะพื้นฐาน 2 ประเภทคือระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regime) และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim )
ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regim ) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะถูกกำหนดให้คงที่ (Pegged) โดยเปรียบเทียบ กับมูลค่าของเงินสกุลอื่นอีกสกุลหนึ่ง (ซึ่งเรียกว่า เงินสกุลหลัก หรือ Anchor Currency ) เพื่อที่ว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะคงที่ในรูปของเงินสกุลหลัก ส่วนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะผันผวนต่อเงินสกุลอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อประเทศแทรกแซงในตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อพยายามที่จะมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของตน โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนนี้ เรียกว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Regime หรือ Dirty Float)
ระบบอัตราการแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate Regimes)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้ข้อตกลงในปี ค.ส.1944 ประเทศผู้ชนะสงครามได้จัดตั้งระบบอัตราการแลกเปลี่ยนเงินคงที่ที่รู้จักกันดีในชื่อระบบเบตรตีนวูดส์ (Bretton Woods System) ซึ่งระบบนี้ได้ ใช้มาจนกระทั่งปีค.ศ. 1971
ข้อตกลง Bretton Woods ได้จัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ซึ่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสมาชิกก่อตั้งสามสิบประเทศ 30 ประเทศในปี ค.ศ. 1954 และปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 180 ประเทศภาระหน้าที่ของ IMF คือการสนับสนุนและการส่งเสริมการค้าโลกโดยการกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับการรักษาระดับอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ ส่วนหนึ่งของบทบาท IMF ในการกำกับให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการจัดทำข้อมูลนั้นให้มีมาตรฐานเดียวกัน
ข้อตกลง Bretton Woods ยังได้จัดตั้งธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะฟื้นฟูและการพัฒนา International Bank For Reconstruction and Development - IBRD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ธนาคารโลก World Bank ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก เป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาและสร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็นเงินทุนเบื้องหลังสำหรับการกู้เหล่านี้ได้มาจากการออกพันธบัตรธนาคารโลกซึ่งมีการขายในตลาดทุนของประเทศที่พัฒนาแล้วยิ่งไปกว่านั้นข้อตกลงทั่วไปด้วยภาษีศุลกากร และการค้า (General Agreement on Tariffs and TRADE-GATT) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ GATT เป็นความ ตกลงระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมประโยชน์ทางการค้าและ เศรษฐกิจที่ร่วมกันลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1947 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการค้าเสรี โดยการลดภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ การเจรจารอบที่ 8 ที่เรียกว่ารอบอุรุกวัย (Uruguay Round) เกิดปัญหาซับซ้อน และการใช้เวลาเจรจากันนานถึง 7 ปี (ค.ศ. 1986-1993) และได้รับการต่อต้านมากที่สุดมีผลทำให้เกิดการจัดตั้งองค์การนานาชาติ ขึ้นมาใหม่ คือ องค์การการค้าโลก (Wolrd Trade Organization - WTO) เพื่อทำหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงองค์การการค้าโลกจะทำหน้าที่ดูแล ข้อย่อย 3 ข้อตกลง คือ ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร (General Agreement on Tariff and Trade -GATT) ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการบริการ (General Agreement on Trade inServices -GATS) และความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา (The Agreement on Trade - Related Aspects of Intellectual Property Rights - TRIPS)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก มีกำลังการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมีทองคำมากที่สุด ระบบ Bretton Woods มีอัตราการแลกเปลี่ยนของที่ รากฐานมาจากความสามารถในการยืนยัน US$ มาเป็นทองคำ ( สำหรับรัฐบาลและธนาคารกลางต่างประเทศเท่านั้น) โดยกำหนดไว้ที่ US$35 ต่อออนซ์ ธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ( นอกเหนือจากธนาคารกลางสหรัฐ) มีหน้าที่ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อรักษาอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่เป็นเงิน US$ ที่เป็นธนาคารกลางเหล่านั้น ที่ไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ เงิน US$ ที่ประเทศอื่นใช้ในการอ้างอิงเพื่อวัดมูลค่าของสินทรัพย์ ที่ถือไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น เรียกว่า เงินสกุลสำรอง (Reserve Currency) ดังนั้น ลักษณะสำคัญของระบบ Bretton Woods คือ การก่อตั้งให้สหรัฐ เป็นเงินสกุลสำรอง ถึงแม้ว่าระบบ Bretton Woods ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เงิน US$ ยังคงเป็นสกุลเงินสำรอง ที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้ในการแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างประเทศ
ในปีค.ศ 1971 ได้มีการยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ที่กำหนดโดยระบบ Bretton Woods อย่างไรก็ดี จากปี ค.ศ. 1979 ถึง 1990 สหภาพยุโรป ได้จัดตั้งระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ใช้กันในกลุ่มประเทศสมาชิก ที่เรียกว่า ระบบการเงินยุโรป (European Monetary System- EMS) มีวิธีกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (European Rate Mechanism - ERM) ของระบบนี้ คือ อัตราการแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินกู้ของเงินสกุลต่างๆ ของประเทศที่เข้าร่วม จะต้องมีความผันผวนไปจากขอบเขตแคบๆ ที่ได้จำกัดไว้ ซึ่งขอบเขตนี้เรียกว่า snake ในทางปฏิบัติทุกประเทศ EMS กำหนดค่าเงินของตนเองกับเงินมาร์คของเยอรมัน
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float)
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกปล่อยให้เป็นการเปลี่ยนแปลงรายวันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ธนาคารกลางหลายแห่งยังคงใช้ทางเลือกที่จะเข้ามาแทรกแซงตลาด การป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เป็นการง่ายต่อธุรกิจและบุคคลที่จะวางแผนในอนาคตที่จะซื้อหรือขายสินค้าต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่ประเทศที่มีดุลการชำระเงินเกินดุลไม่ต้องการให้ค่าเงินของตนเองสูงขึ้น เพราะจะทำให้สินค้าของตนเองมีราคาแพงในประเทศ แล้วสินค้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลงในประเทศของตนเอง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นให้ค่างานอาจเป็นการทำลายธุรกิจภายในประเทศ และมีการวางงานมากขึ้น ดังนั้น ประเทศที่เกินดุก็จะต้องขายสดุกเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตรา และได้เงินสำรองระหว่างประเทศเข้ามา
ประเทศที่มีดุลการชำระเงินขาดดุลไม่ต้องการเห็น ค่าเงินของตนเองลดลง เพราะจะทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้บริโภคภายในประเทศของตนเองและสามารถกระตุ้นเงินเฟ้อได้ เพื่อให้ค่าเงินสกุลภายในต่างประเทศสูง ประเทศที่ขาดดุลมากจะซื้อสกุลเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตราและสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ
ระบบการเงินระหว่างประเทศปัจจุบันเป็นแบบผสมระหว่างระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินคงที่และ ยืดหยุน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะตอบสนองต่อสภาวะตลาด แต่จะไม่ถูกกำหนดโดยสภาวะของตลาดเพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้น หลายประเทศยังคงรักษาค่ะงามสกุลของตน ต่อ สกุลให้คงที่
บทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ข้อตกลง Bretton Woods ในปี ค.ส 1944 ตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ดำเนินการกับปัญหาของดุลการชำระเงิน และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่โดยการให้กู้แก่ประเทศที่ขาดดุล เมื่อระบบอัตราแลกเปลี่ยนของระบบ Bretton Woods ล่มสลายลงในปีค.ศ. 1971 IMF จึงมีบทบาทใหม่ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
ถึงแม้ว่า IMF ไม่ได้พยายามที่จะสนับสนุนระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่อีกต่อไป บทบาทในฐานะการเป็นผู้ให้กู้ยืมระหว่างประเทศมีความสำคัญมากในปัจจุบัน ที่เริ่มต้นในศตวรรษ 1980 ระหว่างช่วงวิกฤติในประเทศโลกที่สาม ซึ่ง IMF ได้ช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการชำระหนี้นอกจากนี้ IMF ยังได้ให้เงินกู้จำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการณ์การเงินในประเทศแม็กซิโกในปีค.ศ. 1994-1995 และประเทศในเอเชียตะวันออก รวมทั้งไทยในปีค.ศ. 1997-1998 รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการฟื้นฟูประเทศเกล้านี้จากภาวะวิกฤตและเป็นการป้องกันการลุกลาม ของวิกฤติเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นๆบทบาทที่ IMF กำลังดำเนินอยู่นี้ (การผู้ให้ยืมระหว่างประเทศ) เป็นข้อถกเถียงที่มีความขัดแย้งอย่างมาก
ที่มา :
: https://greedisgoods.com/fixed-exchange-rate-คือ/
: http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-1.pdf
อัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญเพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนส่งกระทบต่อราคาเปรียบเทียบของสินค้าในประเทศราคาเงินบาทของสินค้าจากสหรัฐอเมริกา สำหรับคนไทยกำหนดโดยปัจจัย 2 ประการคือ ราคาเงินดอลล่าร์ของสินค้าสหรัฐอเมริกาและอัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์
สมมุติว่า วรนัช สั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริกาในราคาคู่ละ US$100 และอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 35 บาทต่อ US$1 ราคารองเท้าสำหรับวรนัช จะเท่ากับ 3,500 บาท (=$100 x 35 บาท/ $) สมมุติว่าวรนัช ตัดสินใจซื้อในเวลาอีก 3 เดือนต่อมาซึ่งเป็นเวลาที่ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้น (appreciation) เป็น 40 บาทต่อ US$1 ราคาเงินบาทของรองเท้าสำหรับวรนัช จะสูงขึ้นเป็น 4000 บาท
อย่างไรก็ดี การเพิ่มค่าเงิน (Appreciation) สกุลเงินประเทศใดจะทำให้ราคาของสินค้าต่างประเทศของประเทศนั้นถูกลงที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อ US$1 ราคากุ้งแช่แข็งกิโลกรัมละ 400 บาทจะเป็นต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกากิโลกรัมละ US$11.43 ผ้าอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นเป็น 40 บาทต่อ US$1 ต้นทุนการนำเข้าจากประเทศไทยจะกลายเป็นกิโลกรัมละ US$10.00
ตรงกันข้าม การลดค่าเงิน (Depreciation) ของเงินดอลล่าร์จะทำให้ต้นทุนของสินค้าจากสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยลดลงแต่จะทำให้ต้นทุนของสินค้าไทยในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ถ้าค่าเงินดอลล่าร์ลดลงเป็น 30บาทต่อ US$1 วรนัช จะสั่งซื้อรองเท้า Timber land จากสหรัฐอเมริการาคาเพียงคู่ละ 3000 บาทแทนที่จะเป็น 3500 บาทและกุ้งแช่แข่งจะมีต้นทุนกิโลกรัมละ US$13.33 แทนที่จะเป็น US$11.43
ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าเมื่อค่าเงินสกุลเงินประเทศใดสูงขึ้น (สูงขึ้นในหมดแล้วค่ะเมื่อเปรียบเทียบกับค่าสกุลเงินอื่น) สินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้นและสินค้าต่างประเทศที่นำเข้าไปยังประเทศนั้นจะมีราคาถูกลง(กำหนดให้ราคาสินค้าภายในประเทศของทั้งสองประเทศคงที่) ตรงข้ามกันเมื่อค่าเงินสกุลประเทศใดลดลงสินค้าส่งออกของประเทศนั้นจะมีราคาลดลงและสินค้าต่างประเทศในประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้น
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในระบบการเงินระหว่างประเทศ มีลักษณะพื้นฐาน 2 ประเภทคือระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regime) และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim )
ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate Regim ) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะถูกกำหนดให้คงที่ (Pegged) โดยเปรียบเทียบ กับมูลค่าของเงินสกุลอื่นอีกสกุลหนึ่ง (ซึ่งเรียกว่า เงินสกุลหลัก หรือ Anchor Currency ) เพื่อที่ว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะคงที่ในรูปของเงินสกุลหลัก ส่วนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Floating Exchange Rate Regim) มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งจะผันผวนต่อเงินสกุลอื่นๆ ทั้งหมด เมื่อประเทศแทรกแซงในตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อพยายามที่จะมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของตน โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนนี้ เรียกว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Regime หรือ Dirty Float)
ระบบอัตราการแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate Regimes)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้ข้อตกลงในปี ค.ส.1944 ประเทศผู้ชนะสงครามได้จัดตั้งระบบอัตราการแลกเปลี่ยนเงินคงที่ที่รู้จักกันดีในชื่อระบบเบตรตีนวูดส์ (Bretton Woods System) ซึ่งระบบนี้ได้ ใช้มาจนกระทั่งปีค.ศ. 1971
ข้อตกลง Bretton Woods ได้จัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ซึ่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีสหรัฐอเมริกาซึ่งมีสมาชิกก่อตั้งสามสิบประเทศ 30 ประเทศในปี ค.ศ. 1954 และปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 180 ประเทศภาระหน้าที่ของ IMF คือการสนับสนุนและการส่งเสริมการค้าโลกโดยการกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับการรักษาระดับอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ ส่วนหนึ่งของบทบาท IMF ในการกำกับให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการจัดทำข้อมูลนั้นให้มีมาตรฐานเดียวกัน
ข้อตกลง Bretton Woods ยังได้จัดตั้งธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะฟื้นฟูและการพัฒนา International Bank For Reconstruction and Development - IBRD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ธนาคารโลก World Bank ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก เป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาและสร้างสาธารณูปโภคที่จำเป็นเงินทุนเบื้องหลังสำหรับการกู้เหล่านี้ได้มาจากการออกพันธบัตรธนาคารโลกซึ่งมีการขายในตลาดทุนของประเทศที่พัฒนาแล้วยิ่งไปกว่านั้นข้อตกลงทั่วไปด้วยภาษีศุลกากร และการค้า (General Agreement on Tariffs and TRADE-GATT) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ GATT เป็นความ ตกลงระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมประโยชน์ทางการค้าและ เศรษฐกิจที่ร่วมกันลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1947 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการค้าเสรี โดยการลดภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ การเจรจารอบที่ 8 ที่เรียกว่ารอบอุรุกวัย (Uruguay Round) เกิดปัญหาซับซ้อน และการใช้เวลาเจรจากันนานถึง 7 ปี (ค.ศ. 1986-1993) และได้รับการต่อต้านมากที่สุดมีผลทำให้เกิดการจัดตั้งองค์การนานาชาติ ขึ้นมาใหม่ คือ องค์การการค้าโลก (Wolrd Trade Organization - WTO) เพื่อทำหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงองค์การการค้าโลกจะทำหน้าที่ดูแล ข้อย่อย 3 ข้อตกลง คือ ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร (General Agreement on Tariff and Trade -GATT) ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการบริการ (General Agreement on Trade inServices -GATS) และความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา (The Agreement on Trade - Related Aspects of Intellectual Property Rights - TRIPS)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก มีกำลังการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมีทองคำมากที่สุด ระบบ Bretton Woods มีอัตราการแลกเปลี่ยนของที่ รากฐานมาจากความสามารถในการยืนยัน US$ มาเป็นทองคำ ( สำหรับรัฐบาลและธนาคารกลางต่างประเทศเท่านั้น) โดยกำหนดไว้ที่ US$35 ต่อออนซ์ ธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ( นอกเหนือจากธนาคารกลางสหรัฐ) มีหน้าที่ในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อรักษาอัตราการแลกเปลี่ยนให้คงที่ โดยการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่เป็นเงิน US$ ที่เป็นธนาคารกลางเหล่านั้น ที่ไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ เงิน US$ ที่ประเทศอื่นใช้ในการอ้างอิงเพื่อวัดมูลค่าของสินทรัพย์ ที่ถือไว้เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น เรียกว่า เงินสกุลสำรอง (Reserve Currency) ดังนั้น ลักษณะสำคัญของระบบ Bretton Woods คือ การก่อตั้งให้สหรัฐ เป็นเงินสกุลสำรอง ถึงแม้ว่าระบบ Bretton Woods ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เงิน US$ ยังคงเป็นสกุลเงินสำรอง ที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้ในการแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างประเทศ
ในปีค.ศ 1971 ได้มีการยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ที่กำหนดโดยระบบ Bretton Woods อย่างไรก็ดี จากปี ค.ศ. 1979 ถึง 1990 สหภาพยุโรป ได้จัดตั้งระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ใช้กันในกลุ่มประเทศสมาชิก ที่เรียกว่า ระบบการเงินยุโรป (European Monetary System- EMS) มีวิธีกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (European Rate Mechanism - ERM) ของระบบนี้ คือ อัตราการแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินกู้ของเงินสกุลต่างๆ ของประเทศที่เข้าร่วม จะต้องมีความผันผวนไปจากขอบเขตแคบๆ ที่ได้จำกัดไว้ ซึ่งขอบเขตนี้เรียกว่า snake ในทางปฏิบัติทุกประเทศ EMS กำหนดค่าเงินของตนเองกับเงินมาร์คของเยอรมัน
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float)
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนจะถูกปล่อยให้เป็นการเปลี่ยนแปลงรายวันเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ธนาคารกลางหลายแห่งยังคงใช้ทางเลือกที่จะเข้ามาแทรกแซงตลาด การป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เป็นการง่ายต่อธุรกิจและบุคคลที่จะวางแผนในอนาคตที่จะซื้อหรือขายสินค้าต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่ประเทศที่มีดุลการชำระเงินเกินดุลไม่ต้องการให้ค่าเงินของตนเองสูงขึ้น เพราะจะทำให้สินค้าของตนเองมีราคาแพงในประเทศ แล้วสินค้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลงในประเทศของตนเอง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นให้ค่างานอาจเป็นการทำลายธุรกิจภายในประเทศ และมีการวางงานมากขึ้น ดังนั้น ประเทศที่เกินดุก็จะต้องขายสดุกเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตรา และได้เงินสำรองระหว่างประเทศเข้ามา
ประเทศที่มีดุลการชำระเงินขาดดุลไม่ต้องการเห็น ค่าเงินของตนเองลดลง เพราะจะทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้บริโภคภายในประเทศของตนเองและสามารถกระตุ้นเงินเฟ้อได้ เพื่อให้ค่าเงินสกุลภายในต่างประเทศสูง ประเทศที่ขาดดุลมากจะซื้อสกุลเงินของตนเองในตลาดปริวรรตเงินตราและสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ
ระบบการเงินระหว่างประเทศปัจจุบันเป็นแบบผสมระหว่างระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินคงที่และ ยืดหยุน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะตอบสนองต่อสภาวะตลาด แต่จะไม่ถูกกำหนดโดยสภาวะของตลาดเพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้น หลายประเทศยังคงรักษาค่ะงามสกุลของตน ต่อ สกุลให้คงที่
บทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ข้อตกลง Bretton Woods ในปี ค.ส 1944 ตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) เพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆ ดำเนินการกับปัญหาของดุลการชำระเงิน และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่โดยการให้กู้แก่ประเทศที่ขาดดุล เมื่อระบบอัตราแลกเปลี่ยนของระบบ Bretton Woods ล่มสลายลงในปีค.ศ. 1971 IMF จึงมีบทบาทใหม่ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
ถึงแม้ว่า IMF ไม่ได้พยายามที่จะสนับสนุนระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่อีกต่อไป บทบาทในฐานะการเป็นผู้ให้กู้ยืมระหว่างประเทศมีความสำคัญมากในปัจจุบัน ที่เริ่มต้นในศตวรรษ 1980 ระหว่างช่วงวิกฤติในประเทศโลกที่สาม ซึ่ง IMF ได้ช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการชำระหนี้นอกจากนี้ IMF ยังได้ให้เงินกู้จำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการณ์การเงินในประเทศแม็กซิโกในปีค.ศ. 1994-1995 และประเทศในเอเชียตะวันออก รวมทั้งไทยในปีค.ศ. 1997-1998 รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการฟื้นฟูประเทศเกล้านี้จากภาวะวิกฤตและเป็นการป้องกันการลุกลาม ของวิกฤติเหล่านี้ไปยังประเทศอื่นๆบทบาทที่ IMF กำลังดำเนินอยู่นี้ (การผู้ให้ยืมระหว่างประเทศ) เป็นข้อถกเถียงที่มีความขัดแย้งอย่างมาก
ที่มา :
: https://greedisgoods.com/fixed-exchange-rate-คือ/
: http://e-book.ram.edu/e-book/e/EC353/EC353-1.pdf
วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561
สกุลเงินตราต่างประเทศ
สกุลเงินตราที่ใช้ในปัจจุบัน
สกุลเงิน | สัญลักษณ์ | รหัสตัวเลข | ชื่อ | ประเทศ |
---|---|---|---|---|
AED | د.إ | 784 | เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ |
|
AFN | Af | 971 | อัฟกานี |
|
ALL | L | 008 | เลค |
|
AMD | Դ | 051 | ดรัมอาร์มาเนีย |
|
AOA | Kz | 973 | กวันซา |
|
ARS | $ | 032 | เปโซอาร์เจนตินา |
|
AUD | $ | 036 | ดอลลาร์ออสเตรเลีย |
|
AWG | ƒ | 533 | โฟลรินอารูบา |
|
AZN | ман | 944 | มานัตอาเซอร์ไบจาน |
|
BAM | КМ | 977 | คอนเวร์ทีบิลนามาร์ค |
|
BBD | $ | 052 | ดอลลาร์บาร์เบโดส |
|
BDT | ৳ | 050 | ตากา |
|
BGN | лв | 975 | เลฟบัลแกเรีย |
|
BHD | ب.د | 048 | ดีนาร์บาห์เรน |
|
BIF | ₣ | 108 | ฟรังก์บุรุนดี |
|
BMD | $ | 060 | ดอลลาร์เบอร์มิวดา |
|
BND | $ | 096 | ดอลลาร์บรูไน |
|
BOB | Bs. | 068 | โบลีเวียโน |
|
BRL | R$ | 986 | เรอัลบราซิล |
|
BSD | $ | 044 | ดอลลาร์บาฮามาส |
|
BTN | 064 | งุลตรัม |
| |
BWP | P | 072 | ปูลา |
|
BYR | Br | 974 | รูเบิลเบลารุส |
|
BZD | $ | 084 | ดอลลาร์เบลีซ |
|
CAD | $ | 124 | ดอลลาร์แคนาดา |
|
CDF | ₣ | 976 | ฟรังก์คองโก |
|
CHF | ₣ | 756 | ฟรังก์สวิส |
|
CLP | $ | 152 | เปโซชิลี |
|
CNY | ¥ | 156 | หยวน |
|
COP | $ | 170 | เปโซโคลอมเบีย |
|
CRC | ₡ | 188 | โกลอนคอสตาริกา |
|
CUP | $ | 192 | เปโซคิวบา |
|
CVE | $ | 132 | อิชกูดูกาบูเวร์ดี |
|
CZK | Kč | 203 | โครูนาเช็ก |
|
DJF | ₣ | 262 | ฟรังก์จิบูตี |
|
DKK | kr | 208 | โครนเดนมาร์ก |
|
DOP | $ | 214 | เปโซโดมินิกา |
|
DZD | د.ج | 012 | ดีนาร์แอลจีเรีย |
|
EGP | £ | 818 | ปอนด์อียิปต์ |
|
ERN | Nfk | 232 | นัฟกา |
|
ETB | 230 | เบอร์เอธิโอเปีย |
| |
EUR | € | 978 | ยูโร |
|
FJD | $ | 242 | ดอลลาร์ฟิจิ |
|
FKP | £ | 238 | ปอนด์หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ |
|
GBP | £ | 826 | ปอนด์สเตอร์ลิง |
|
GEL | ლ | 981 | ลารี |
|
GHS | ₵ | 936 | ซีดี |
|
GIP | £ | 292 | ปอนด์ยิบรอลตาร์ |
|
GMD | D | 270 | ดาราซี |
|
GNF | ₣ | 324 | ฟรังก์กินี |
|
GTQ | Q | 320 | เกตซัล |
|
GYD | $ | 328 | ดอลลาร์กายอานา |
|
HKD | $ | 344 | ดอลลาร์ฮ่องกง |
|
HNL | L | 340 | เลมปิรา |
|
HRK | Kn | 191 | คูนาโครเอเชีย |
|
HTG | G | 332 | กูร์ด |
|
HUF | Ft | 348 | โฟรินต์ |
|
IDR | Rp | 360 | รูเปียห์ |
|
ILS | ₪ | 376 | เชเกลอิสราเอลใหม่ |
|
INR | ₨ | 356 | รูปีอินเดีย |
|
IQD | ع.د | 368 | ดินาร์อิรัก |
|
IRR | ﷼ | 364 | เรียลอิหร่าน |
|
ISK | Kr | 352 | โครนาไอซ์แลนด์ |
|
JMD | $ | 388 | ดอลลาร์จาเมกา |
|
JOD | د.ا | 400 | ดีนาร์จอร์แดน |
|
JPY | ¥ | 392 | เยน |
|
KES | Sh | 404 | ชิลลิงเคนยา |
|
KGS | 417 | ซอม |
| |
KHR | ៛ | 116 | เรียล |
|
KPW | ₩ | 408 | วอนเกาหลีเหนือ |
|
KRW | ₩ | 410 | วอนเกาหลีใต้ |
|
KWD | د.ك | 414 | ดีนาร์คูเวต |
|
KYD | $ | 136 | ดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมน |
|
KZT | 〒 | 398 | เตงเก |
|
LAK | ₭ | 418 | กีบ |
|
LBP | ل.ل | 422 | ปอนด์เลบานอน |
|
LKR | Rs | 144 | ศรีลังการูปี |
|
LRD | $ | 430 | ดอลลาร์ไลบีเรีย |
|
LSL | L | 426 | โลตี |
|
LYD | ل.د | 434 | ดีนาร์ลิเบีย |
|
MAD | د.م. | 504 | ดีร์แฮมโมร็อกโก |
|
MDL | L | 498 | ลิวมอลโดวา |
|
MGA | 969 | อารีอารีมาดากัสการ์ |
| |
MKD | ден | 807 | ดีนาร์ |
|
MMK | K | 104 | จัต |
|
MNT | ₮ | 496 | ทูกรุก |
|
MOP | P | 446 | ปาตากา |
|
MRO | UM | 478 | อกียะฮ์ |
|
MUR | ₨ | 480 | รูปีมอริเชียส |
|
MVR | ރ. | 462 | รูฟียาห์ |
|
MWK | MK | 454 | กวาจา |
|
MXN | $ | 484 | เปโซเม็กซิโก |
|
MYR | RM | 458 | ริงกิตมาเลเซีย |
|
MZN | MTn | 943 | เมตีกาล |
|
NAD | $ | 516 | ดอลลาร์นามิเบีย |
|
NGN | ₦ | 566 | ไนรา |
|
NIO | C$ | 558 | กอร์โกบา |
|
NOK | kr | 578 | โครนนอร์เวย์ |
|
NPR | ₨ | 524 | รูปีเนปาล |
|
NZD | $ | 554 | ดอลลาร์นิวซีแลนด์ |
|
OMR | ر.ع. | 512 | เรียลโอมาน |
|
PAB | B/. | 590 | บัลโบอา |
|
PEN | S/. | 604 | นูเอโวซอล |
|
PGK | K | 598 | คีนา |
|
PHP | ₱ | 608 | เปโซฟิลิปปินส์ |
|
PKR | ₨ | 586 | ปากีสถานรูปี |
|
PLN | zł | 985 | ซโวตี |
|
PYG | ₲ | 600 | กวารานี |
|
QAR | ر.ق | 634 | ริยาลกาตาร์ |
|
RON | L | 946 | เลอู |
|
RSD | din | 941 | ดีนาร์เซอร์เบีย |
|
RUB | р. | 643 | รูเบิลรัสเซีย |
|
RWF | ₣ | 646 | ฟรังก์รวันดา |
|
SAR | ر.س | 682 | ริยาลซาอุดีอาระเบีย |
|
SBD | $ | 090 | ดอลลาร์หมู่เกาะโซโลมอน |
|
SCR | ₨ | 690 | รูปีเซเชลส์ |
|
SDG | £ | 938 | ปอนด์ซูดาน |
|
SEK | kr | 752 | โครนาสวีเดน |
|
SGD | $ | 702 | ดอลลาร์สิงคโปร์ |
|
SHP | £ | 654 | ปอนด์เซนต์เฮเลนา |
|
SLL | Le | 694 | ลีโอน |
|
SOS | Sh | 706 | ชิลลิงโซมาเลีย |
|
SRD | $ | 968 | ดอลลาร์ซูรินาม |
|
STD | Db | 678 | โดบรา |
|
SYP | ل.س | 760 | ปอนด์ซีเรีย |
|
SZL | L | 748 | ลีลังเกนี |
|
THB | ฿ | 764 | บาท |
|
TJS | ЅМ | 972 | โซโมนี |
|
TMT | m | 934 | มานัต |
|
TND | د.ت | 788 | ดีนาร์ตูนิเซีย |
|
TOP | T$ | 776 | ปาอางา |
|
TRY | ₤ | 949 | ลีราใหม่ตุรกี |
|
TTD | $ | 780 | ดอลลาร์ตรินิแดดและโตเบโก |
|
TWD | $ | 901 | ดอลลาร์ไต้หวัน |
|
TZS | Sh | 834 | ชิลลิงแทนซาเนีย |
|
UAH | ₴ | 980 | ฮริฟเนีย |
|
UGX | Sh | 800 | ชิลลิงยูกันดา |
|
USD | $ | 840 | ดอลลาร์สหรัฐ |
|
UYU | $ | 858 | เปโซอุรุกวัย |
|
UZS | 860 | ซอมอุซเบกิสถาน |
| |
VEF | Bs F | 937 | โบลีวาร์เวเนซุเอลา |
|
VND | ₫ | 704 | ด่ง |
|
VUV | Vt | 548 | วาตู |
|
WST | T | 882 | ตาลา |
|
XAF | ₣ | 950 | ฟรังก์ซีเอฟเอแอฟริกาตะวันตก |
|
XCD | $ | 951 | ดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก |
|
XPF | ₣ | 953 | ฟรังก์ซีเอฟพี |
|
YER | ﷼ | 886 | เรียลเยเมน |
|
ZAR | R | 710 | แรนด์ |
|
ZMW | ZK | 967 | ควาซาแซมเบีย |
|
ZWL | $ | 932 | ดอลลาร์ซิมบับเว |
|
สกุลเงิน – รหัสตัวอักษร 3 ตัว สำหรับ สกุลเงิน ที่สร้างขึ้นจากมาตรฐาน ISO 4217 รหัสตัวอักษรถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางธนาคารระหว่างประเทศ การลงทุน และการเขียนข้อความอย่างย่อด้วยสัญลักษณ์ของจำนวนเงิน
สัญลักษณ์ – สัญลักษณ์ภาพทั่วโลก ถูกใช้ในการเขียนข้อความอย่างย่อด้วยสัญลักษณ์ของชื่อสกุลเงินด้วยจำนวนเงิน
รหัสตัวเลข – รหัสตัวเลข 3 ตัว สำหรับสกุลเงิน ได้กำหนดตามมาตรฐานตัวเลขของ ISO 3166-1 โดยปกติแล้ว รหัสตัวเลขของสกุลเงิน จะจับคู่กันกับรหัสประเทศ รหัสตัวเลขได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็น ตัวอักษร ที่ไม่ใช่ลาติน (non-latin alphabets) เพื่อตอบสนองความต้องการ ให้กับประเทศต่าง ๆ
ชื่อ – ชื่อทางการของสกุลเงิน
ประเทศ – ประเทศของสกุลเงิน และรูปภาพของธงประจำประเทศ
ที่มา : https://justforex.com/th/education/currencies
: www.royin.go.th/?knowledges=ชื่อสกุลเงินตราต่างประe
ที่มา : https://justforex.com/th/education/currencies
: www.royin.go.th/?knowledges=ชื่อสกุลเงินตราต่างประe
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)